ดร.สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงการที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาปฏิเสธกระแสข่าวการต่อรองตำแหน่งโดยแลกกับการร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า เป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าประชาธิปัตย์ต้องปฏิเสธข่าวการจับมือ เพราะหากยอมรับว่าอยู่ฝ่ายสนับสนุน คสช. การเลือกตั้งครั้งนี้จะกลายเป็นการแข่งขันระหว่าง 2 ขั้วเท่านั้น คือ ฝ่ายพรรคเพื่อไทย และฝ่าย พปชร. ซึ่งประชาธิปัตย์จะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเครือข่าย พปชร. เท่านั้น ดังนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค จึงประกาศว่าตนเองเป็นขั้วที่ 3 เอาไว้ก่อน แต่อย่างไรเสีย พปชร.ต้องอาศัยพรรคร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลอยู่แล้ว พรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นทางเลือกที่อุ่นใจที่สุด
ดร.สติธร ระบุอีกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ จะต้องมีพรรคตัวแปร กล่าวคือ เป็นพรรคที่อยู่ตรงกลาง และหากไปร่วมรัฐบาลกับฝั่งใดฝั่งหนึ่ง จะไปเสริมให้มีความแข็งแกร่ง ซึ่งแม้ขณะนี้มีพรรคตั้งใหม่และมีแนวโน้มว่าจะเป็นพรรคขนาดกลางเกิดขึ้นมากมายก็ตาม แต่เขามีขั้วทางการเมืองอยู่แล้ว เช่น ไทยรักษาชาติ หรือ อนาคตใหม่ ยังไงต้องอยู่ฝ่ายเพื่อไทย จึงไม่นับว่าเป็นตัวแปร
ถ้ายกตัวอย่างคร่าวๆ จะได้ว่า พรรคสนับสนุน คสช.ที่รวมกับประชาธิปัตย์ จะได้ ส.ส.อยู่ที่ประมาณ 220 คน ส่วนเครือข่ายของฝั่งเพื่อไทย อาจได้ประมาณ 230 คน พรรคขนาดกลางจึงจะเป็นตัวแปรสำคัญในการตั้งรัฐบาล ซึ่งเท่าที่เห็นตอนนี้คือ พรรคภูมิใจไทย
“ผมว่าตอนนี้ จากการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต ของพรรคภูมิใจไทย มีตัวโดดเด่นมากกว่าพรรคพลังประชารัฐเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น ที่คุณสุริยะมั่นใจว่าจะกวาด 150 ที่นั่ง ผมว่าอาจไปไม่ถึง ตัวเลขในใจตอนนี้คือ 130 มาจาก ส.ส.เขต ประมาณ 50 ปาร์ตี้ลิสต์ อีก 80 เมื่อเป็นแบบนี้ จึงเป็นไปได้ว่าต้องจับมือกับประชาธิปัตย์เพื่อตั้งรัฐบาล ท้ายที่สุดคือ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งไหน เขาต้องอาศัยเสียงจากพรรคตัวแปรมาสนับสนุนถึงจะไปรอด เพราะกติกาออกแบบมาให้เราได้รัฐบาลผสม” ดร.สติธร กล่าว