คึกคักกันใหญ่ สำหรับพรรคการเมืองต่างๆ ที่วางแผงขายของ ขายแนวคิดนโยบายตามเวทีเสวนาซึ่งจัดขึ้นแทบจะรายวัน
หลายพรรคก็ยังคงชูการต่อสู้ทางอุดมการณ์ในภาพใหญ่ ขณะที่บางพรรคเริ่มหันมาโฟกัสเจาะลงไปถึงแนวคิดที่เป็นรูปธรรม อธิบายขยายความกันตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ต้องรอถึงช่วงเลือกตั้ง
หนึ่งในนั้นคือแนวคิด “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” ของพรรคภูมิใจไทย ที่เจาะจงไปถึงเรื่องการแก้ไขกฎหมายหลายฉบับซึ่งยังล้าหลังและเป็นอุปสรรคสำหรับการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของชาวบ้านส่วนใหญ่ ประเทศไทยจะได้หลุดพ้นจากแชมป์ความเหลื่อมล้ำเสียที
ยกตัวอย่างให้ละเอียด เช่น การแก้ปัญหาเรื่องข้าว ด้วยการชูกฎหมาย พ.ร.บ.ข้าว ต่อไปนี้พี่น้องชาวนาจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากโรงสีและผู้ค้าแบบ 70:15:15 แว่วๆว่า แนวคิดนี้สะเทือนเลื่อนลั่น เพราะถูกอกถูกใจพี่น้องอย่างล้นหลาม
แต่จนแล้วจนรอด ภูมิใจไทย ยังถูกค่อนขอดว่า ชู “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” ได้อย่างไร ในเมื่อไม่ปฏิเสธระบอบรัฐรวมศูนย์อำนาจ ราชการเป็นใหญ่ ถูกค่อนขอดเรื่องจุดยืนในการร่วมรัฐบาลกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
ทั้งๆที่ ชัดเจนมานานแล้วว่าภูมิใจไทย โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ไม่สนซ้าย-สนขวา มองไปหน้าอย่างเดียว ภูมิใจไทยจะชูอนุทินเป็นนายกฯ จะเสียเวลาตอบคำถามเพื่อลดศักดิ์ศรีพรรคตัวเองให้เป็นแค่ “พรรคร่วมรัฐบาล” ไปใย?
เพราะเป้าหมายสูงสุดของพรรคการเมืองคือ เป็นพรรคที่จัดตั้งรัฐบาล ถูกไหม?
ส่วนหลักการลดอำนาจระบบราชการ การปฏิรูปราชการ หรือหลักการประชาธิปไตยนั้น คนที่พอล่ำเรียนเขียนอ่าน คนที่เสนอตัวมารับใช้พี่น้องประชาชน เขาก็รู้และยึดมั่นอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องผูกขาดเฉพาะนักคิด นักวิชาการบน “หอคอยงาช้าง” อย่างเดียว
เพราะหลักประชาธิปไตย ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน เป็นภารกิจที่พรรคการเมืองยึดเป็นเป้าหมายสูงสุด และทำตามวิถีทางความถนัดของตน
“ทำให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ดีกว่าไม่ทำอะไร แล้วคอยวิจารณ์คนอื่นอย่างเดียว”
ตั้งแต่ปี 2475 จนถึงวันนี้ ระบอบประชาธิปไตย มีอายุ 80 กว่าปี ที่ผ่านมาล้วนมีการต่อสู้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งภาพใหญ่และภาพเล็ก ถ้ามัวแต่รอเปลี่ยนแปลงภาพใหญ่ ป่านนี้คงไม่มีนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค หรือโอทอป ออกมาหรอก
ตอนนี้เชื่อว่าหลายพรรคการเมือง อย่างภูมิใจไทย เห็นทุกปัญหาของประชาชน แต่ในทางปฏิบัติ ต้องเรียงลำดับความจำเป็น เช่นเดียวกับการใช้งบประมาณที่มีจำกัด เราต้องใช้เรื่องจำเป็นก่อน มันเป็นเรื่องของนักบริการจัดการ
เหมือนเราเห็นปลาในบ่อกำลังใกล้ขาดน้ำตาย มันแห้งแล้ง ก็ต้องหาน้ำมาเติม หรือย้ายปลาไปบ่ออื่น ไม่ใช่ปลาพะงาบๆอยู่ข้างหน้า แล้วมานั่งวาดแปลนสร้างระบบชลประทาน จนปลาตายไปต่อหน้าต่อตา!
ปฏิเสธไม่ได้ว่า โครงการระยะยาวทำแน่ แต่ต้องช่วยชีวิตปลาก่อน
วันก่อน “ดร.โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร ก็เพิ่งเขียนบทความในมติชนหัวข้อ “(ประชาชนรากหญ้า) จะตายห่าอยู่แล้ว” นี่จึงเป็นปัญหาร่วมที่ทุกฝ่ายต้องตระหนัก!!
ดังนั้น “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” ในระยะเร่งด่วน คือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อันได้แก่กติกาโบราณที่เป็นอุปสรรคในการทำมาหากิน ให้เขาหายใจหายคอได้
คนในพรรคภูมิใจไทย ย้ำเป็นประจำว่า “เราเป็นพรรคบ้านนอก เป็นพรรคเซาะกราว ใกล้ชิดและรู้ปัญหาประชาชน จึงเรียงลำดับความสำคัญ เรารู้ว่าชาวบ้านอยากได้อะไร เราไม่สามารถรอช้า เพราะต้องทำจริง ทำได้เลย เราอดรนทนไม่ไหวกับความเดือดร้อน เพราะภูมิใจไทยไม่ได้นั่งอยู่บนหอคอยงาช้างที่คอยวิจารณ์จุดยืนคนนั้นคนนี้ด้วยทฤษฎีด้วยตำรา เราไม่รอความพร้อม แต่เราจะทำให้มันพร้อม”
สรุปง่ายๆว่า มีหลักการประชาธิปไตยในหัวใจแน่ โดยเฉพาะประชาธิปไตยกินได้ ปากท้องประชาชนต้องมาก่อนเป็นลำดับแรก และเชื่อว่านี่คือขั้นตอนสำคัญของพัฒนาการประชาธิปไตย
พรรคนี้กำลังหอบความหวังของชาวบ้านเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย ประชาชนใกล้จะตาย โปรดอย่าผลักไสด้วยวาทกรรมการเมือง เพราะนี่ ไม่ใช่ “เรื่องตลกของภูมิใจไทย”