“เราจะปักธงประชาธิปไตยเพื่อลูกหลานของเรา
เราจะไม่ปล่อยให้ระบอบแบบนี้สืบไปถึงลูกหลานของเรา”
เป็นนโยบายการเมืองที่ดุดันของพรรคอนาคตใหม่ ที่นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นักธุรกิจยานยนต์ ซึ่งคลุกคลีกับแวดวงการเมืองมาตั้งยังวัยเยาว์ มีความคิด ความฝัน มีอุดมการณ์ซ้ายเสรีนิยม
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เอก ธนาธร” วางเส้นทางการเมืองของตัวเองมานับทศวรรษ ก่อนเข้าสู่ถนนเส้นนี้อย่างจริง โดยเป็นนักกิจกรรม สมัยเป็นนักศึกษา จากนั้น เข้าร่วมการชุมนุม และมีส่วนเรียกร้องทางการเมืองมาโดยตลอด ระหว่างนั้น ให้แนวคิดเรื่องการเมืองไม่ขาดตอน
กลายเป็นความหวังของคนในสังคมไทย กระทั่งตัดสินใจตั้งพรรคอนาคตใหม่ในที่สุด โดยมีกลุ่มนักวิชาการ และนักกิจกรรมรุ่นใหม่ คอยช่วยเหลือ
แนวทางของพรรคอนาคตใหม่ คือ เปลี่ยนการเมืองไทย สู่ระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตย ซึ่งหลักคิดดังกล่าวกลายเป็นสิ่งที่พรรคยึดถือเหนืออื่นได
นำมาซึ่งคำประกาศมากมาย ที่มีเจตนาหักโค่นระบอบเดิม แบบถอนราก ถอนโคน
เรียกเสียงเฮจากแนวร่วม ซึ่งจำนวนมากอยู่ในโลกโซเชียล กลายเป็นกระแสในชั่วข้ามคืน เพราะหายากนักกับพรรคการเมืองที่กล้าประกาศแนวทางการเคลื่อนไหวที่เดือดพล่าน ตั้งแต่ไล่เผด็จการ ฉีกรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตามพรรคอนาคตใหม่ เปรียบดังพลุ ที่ดังตูมตามในเวลาอันชั่ววูบ
เพราะจากวันนั้น ถึงวันนี้ พรรคอนาคตใหม่ ไม่สามารถรักษากระแสของตนเองได้
นับวันยิ่งแผ่วลงเรื่อยตามกาล
ส่วนหนึ่ง พรรคไม่เคยนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาปากท้องประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม การนำเสนอทั้งหมดเป็นการมุ่งเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างด้านการปกครอง ที่หาทางสำเร็จแทบไม่เจอ
แนวทางของพรรคอนาคตใหม่ ไม่ใช่สิ่งที่ตอบสนองคนไทย ที่กำลังอยู่ในวิกฤติเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน ยังโดนค่อนขอดจากปัญญาชนอีกกลุ่มว่า แนวคิดของพรรค เป็นเรื่องเพ้อฝัน ไร้ซึ่งวิธีการ สู่ความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
อีกส่วนมาจากแนวทางของพรรคนั้น ลึกซึ้งเกินกว่าแนวร่วมจะเข้าใจ เพราะประชาธิปไตย ในแบบอนาคตใหม่ คือการเปิดรับทุกความต่าง แต่สังคมกลับเห็นความย้อนแย้ง เมื่อสมาชิกคนสำคัญของพรรค จัดการไล่ผู้เห็นต่างทางรสนิยม ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง
ก่อให้เกิดการปะทะระหว่าง ผศ.ดร.ปวินทร์ ชัชวาลพงพันธ์ กับกลุ่มโอตะ BNK ภายในพรรค ซึ่งมิอาจยอมรับคำวิพากษ์ของนักวิชาการท่านนี้ได้ สุดท้ายแล้ว ความบาดหมางนำมาสู่ความแตกหัก แทนการยอมรับความเห็นต่าง สะท้อนความเปราะบางทางแนวคิดของพรรคอนาคตใหม่
กลุ่มนักกิจกรรมเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า
“ภาวะสะดุดอุดมการณ์”
แต่สิ่งที่ตามมานั้น น่าสนใจยิ่ง เมื่อสมาชิกของพรรคจำนวนหนึ่งทยอยถอยหนีจากพรรค
“เพียงคำ ประดับความ” กวีแนวร่วมต่อต้านรัฐประหาร และประกาศตัวสนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ สาธยายว่า
“เราเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวธนาธรอย่างจริงใจในเบื้องแรกและเราเชียร์พรรคอนาคตใหม่เพราะมองเห็นว่าเป็นความหวังของเราที่จมอยู่ในสภาวะไร้ทางออกมานานหลายปี… เราเริ่มรู้สึกว่าพรรคไม่ใช่แนวทางที่เราจะเลือกมาเรื่อยๆ หลักๆ คือพรรคเน้นคนรุ่นใหม่เกินไป เราคิดว่า มันจะทำ ให้คนกลุ่มอื่นรู้สึกเป็นอื่น วาทกรรมหลายอย่างผลักไสคนอื่น สร้างความเป็นอื่น ไม่เพียงทำ ให้เราไม่เท่ากัน แต่ยังจะถ่างช่องว่างนั้นให้กว้างขึ้น เราสงสารชาวบ้านที่เดินเข้าไปเพราะอยากมีอนาคตใหม่แต่ต้องมาทนฟังอะไรแย่ๆ เจอการแบ่งแยกแย่ๆอย่างที่เคยพูดๆ ไปเยอะแล้วคงจะไม่ลงซ้ำอีก”
จากนั้น พรรคอนาคตใหม่ตัดสินใจร่วมเล่นกีฬากับกลุ่มพรรคประชาธิปัตย์ ที่กลายเป็นดราม่าขึ้นมาอีกรอบ เมื่อ แนวหนุนอนาคตใหม่จำนวนมาก คือผู้ที่เจ็บช้ำจากเหตุการณ์ปี 53 จนฝ่ายพรรคอนาคตใหม่ต้องออกมาเคลียร์ปัญหาภายใน
ขณะที่หลายพรรคเดินหน้าเรื่องนโยบายไปแล้ว
ถึงขั้นที่นักวิชาการหัวซ้ายรุ่นใหญ่ อย่าง อ.นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ ต้องออกมาเตือน
“แปลกที่ว่าตอนนี้อนาคตใหม่ยังไม่มีนโยบายในภาพรวมเกิดขึ้นเลย เหตุผลที่ไม่เกิดเพราะ ทำไมพวกคณะกรรมการบริหารพรรคที่ได้รับเลือกตั้งมาไม่นั่งลง แล้วสิ่งที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ต้องทำ คือเสนอนโยบาย จากนั้นคณะกรรมการพรรคทั้งหมดร่วมกันคิดว่าเห็นด้วยไหม ถ้าเห็นด้วยก็สร้างให้เป็นภาพใหญ่
คณะกรรมการต้องบริหารจริง ไม่ใช่รอให้ประชาชนมาออกความเห็น ไม่งั้นปกครองแบบกรีกโบราณไม่ดีกว่าเหรอ เอาเปลือกหอยมาใส่ในทุกมติเพื่อเป็นการวัดคะแนน”
ล่าสุดมีการตัดหางปล่อยวัดกลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่ จากปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ
เหล่านี้ เป็นปัญหาที่เกิดควบคู่ไปกับการหาผู้สมัครลงพื้นที่ ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ ดันล็อกสเป็กมัดตัวเองโดยระบุว่า “ปฏิเสธนักการเมืองเก่า” ส่งผลให้ต้องส่งเฉพาะนักการเมืองใหม่ ไร้กระแสไปเก็บคะแนน
สภาพของอนาคตใหม่จากวันนั้น ถึงวันนี้ มิต่างจากพลุ ก่อนพราวหายวับ กลางฟ้า
Ringsideการเมือง