ดร.สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เกี่ยวกับกฎเกณฑ์การหาเสียงของผู้สมัครและพรรคการเมือง เช่น จำกัดจำนวนป้ายคัทเอาท์หาเสียงและรถแห่ว่า เป็นการมุ่งจำกัดพฤติกรรมของนักการเมือง ซึ่งหลายครั้งถูกมองว่ามีความละเอียดยิบย่อยมากจนเกินไป จนละเลยสาระสำคัญคือภารกิจในการให้ข้อมูลและสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนหรือผู้มีสิทธิ์ออกเสียง เนื่องจากระบบเลือกตั้งแบบใหม่มีหลายส่วนที่ชาวบ้านยังไม่เข้าใจ แถมยังมีการเปลี่ยนแปลงเขตเลือกตั้งด้วย จึงเป็นหน้าที่หลักของ กกต.ที่ต้องรณรงค์ หรือท้ายที่สุดแล้ว กกต.จะผลักหน้าที่ตรงนี้ไปให้ผู้สมัครของพรรคการเมืองต่างๆ ไปสื่อสารกับประชาชนด้วยตัวเองหรือไม่
ดร.สติธร ยังกล่าวถึง ร่างระเบียบ กกต.เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ส.ส. ที่กำหนดค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งของผู้สมัครแบบแบ่งเขตคนละไม่เกิน 2 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายของพรรคการเมืองคิดจากจำนวนการส่งผู้สมัครตั้งแต่ 10-70 ล้านบาทว่า มีความแตกต่างจากระเบียบฉบับก่อน กล่าวคือ ระเบียบครั้งก่อนให้ค่าใช่จ่ายทั้งผู้สมัคร ส.ส.เขต และแบบบัญชีรายชื่อเท่ากัน สมมุติว่า คนละ 1.5 ล้านบาท ก็คูณด้วยจำนวนผู้สมัครที่พรรคนั้นๆส่งลงเลือกตั้ง แต่ครั้งนี้แยกประเภท ส.ส.และจำนวนเงินต่างกันชัดเจน โดยเฉลี่ยแล้ว ส.ส.บัญชีรายชื่อได้รับต่อหัวน้อยกว่า นั่นหมายความว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ รัฐไทยกำลังให้ความสำคัญกับ ส.ส.เขต มากกว่าให้ความสำคัญกับพรรคการเมือง ทั้งๆที่พรรคการเมืองมีหน้าที่ต้องไปรณรงค์ทำความเข้าใจกับชาวบ้านไม่ต่างกัน