หน้าแรก news “เลือกตั้งต้องบริสุทธิ์โปร่งใส”

“เลือกตั้งต้องบริสุทธิ์โปร่งใส”

0
“เลือกตั้งต้องบริสุทธิ์โปร่งใส”
Sharing

“ผมอยากเห็นการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปด้วยความสุจริตโปร่งใส โดยเชื่อมั่นในองค์กร กกต.เพราะการเลือกตั้งจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าคนไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง”

ไม่บ่อยนักที่จะเห็นคำเตือนแรงๆแบบนี้ จากนายสรอรรถ กลิ่นประทุน  ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาพรรคภูมิใจไทย

ท่าทีของนายสรอรรถ เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังดี ถึงผู้มีอำนาจ ด้วยเพราะประสบการณ์ทางการเมืองกว่า 4 ศตวรรษ จึงเปรียบเสมือนผู้มาก่อนกาล หยั่งรู้ว่าสถานการณ์ไหน นำไปสู่อะไร และการเลือกตั้งที่สกปรก ย่อมไม่ให้ผลที่ดีงามสำหรับประเทศชาติ

ย้อนกลับไป ณ การเลือกตั้ง วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 สมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงครามได้ชื่อว่าเป็นบุรุษผู้ทรงอำนาจ ในสยามประเทศ ได้จัดเลือกตั้งขึ้นมา เพื่อหาความชอบธรรมในการบริหารประเทศต่อ

แต่ก่อนการเลือกตั้งนั้น ได้มีการข่มขู่สารพัดจากบรรดานักเลง อันธพาล ที่ทางรัฐบาลเรียกว่า “ผู้กว้างขวาง” โดยบังคับให้ชาวบ้านเลือกแต่ผู้สมัครจากพรรครัฐบาล มีการใช้อุจจาระป้ายตามประตูบ้าน รวมทั้งใช้เครื่องบินโปรยใบปลิวประณามพรรคฝ่ายค้าน คือ พรรคประชาธิปัตย์ ด้วย

เมื่อวันเลือกตั้งมาถึง ปรากฏว่า มีการใช้คนฝ่ายรัฐบาลเวียนเทียนกันลงคะแนน เรียกว่า “พลร่ม” เมื่อปิดหีบแล้วมีการยัดบัตรลงคะแนนเถื่อนเข้าไป เรียกว่า “ไพ่ไฟ” ตลอดจนแอบเปลี่ยนหีบเลือกตั้งในที่ลับตาคน และมีการเหตุขลุกขลักขึ้นในหลายพื้นที่ รุนแรงถึงขนาดมีการฆาตกรรมคนที่สนับสนุนผู้สมัครบางคนด้วย อีกทั้งการนับคะแนนยังใช้เวลานับกันยาวนานถึง 7 วัน 7 คืน ด้วยกัน ซึ่งเรื่องนี้ได้ถูกตีแผ่อย่างกว้างขวางในหนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ

ผลการเลือกตั้ง ปรากฏว่า พรรคเสรีมนังคศิลา ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาในปี พ.ศ. 2498 เพื่อที่จะรองรับการเลือกตั้งครั้งนี้โดยเฉพาะ ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ได้รับเสียงข้างมากที่สุด ถึง 85 ที่นั่ง เฉพาะในจังหวัดพระนคร และจังหวัดธนบุรี อันเป็นเมืองหลวง ได้ถึง 8 ที่นั่ง โดย จอมพล ป. ได้รับเลือกมาด้วยคะแนนเป็นลำดับหนึ่ง ด้วยคะแนน 137,735 ตามมาด้วย พันตรี ควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคฝ่ายค้านคู่แข่งสำคัญ ด้วยคะแนน 118,457 ซึ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ได้เพียงแค่ 4 ที่นั่งเท่านั้น คือ พันตรี ควง นาวาโท พระประยุทธชลธี นายไถง นายมนัส และทั่วประเทศได้เพียง 31 ที่นั่งเท่านั้น

ดังนั้น ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้จากประชาชน เกิดการชุมนุมประท้วง และการยึดอำนาจโดยทหารฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจอมพล ป.

นี่คือบทเรียนของความพยายามเล่นนอกเกม เพื่อให้ชนะเลือกตั้ง ซึ่งถูกกล่าวขานมาจนถึงปัจจุบัน ที่เชื่อว่ารัฐบาล และ กกต. เองก็ทราบเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี

แต่หลายฝ่าย ล้วนแสดงความเป็นห่วงเป็นใย เพราะกระแสของรัฐบาลไม่ดีนัก

ดังนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศถึงขั้นออกปากห้ามต่างประเทศสังเกตุการณ์กันแล้ว ขณะที่กว่าจะถึงการเลือกตั้ง ฝ่ายการเมืองต่างสงสัยการทำงานของ กกต. โดยเฉพาะเรื่องการใช้ ม.44 ขีดเส้นในหลายเขตเลือกตั้ง และช่วงเดือนธันวาคม รัฐบาลเพิ่งจัดแคมเปญเอาใจประชาชนชุดใหญ่ จ่ายงบไปกว่า 2 แสนล้านบาท ที่ฝ่ายการเมืองมองว่าบางพรรคน่าจะได้ประโยชน์จากแคมเปญนี้

แต่ฝ่ายการเมืองหาได้ตีรวนจนเป็นเรื่องใหญ่โต

ชัดเจนว่าฝ่ายการเมือง พร้อมเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง และประชาชนอยากใช้สิทธิ์ ในเสียง แต่ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาเป็นลูกไก่ในกำมือ

ประเทศไทยมีบทเรียนแล้ว

Ringsideการเมือง


Sharing

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่