นายณัชพล ตันเจริญ สมาชิกพรรคภูมิใจไทย กล่าวในงาน “พลังคนรุ่นใหม่ กับการเลือกตั้ง 2562” ณ หอประชุมศรีวชิรโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ถึงปัญหาของประเทศไทย ณ ปัจจุบัน ว่า รัฐมีอำนาจในมือมากจนเกินไป ส่วนสำคัญ เพราะกฎหมายรับรองอำนาจนั้น น่าสนใจที่อำนาจดังกล่าว กำลังทำลายโอกาสในการทำมาหากินของพี่น้องประชาชน ซึ่งควรจะใช้ทรัพย์สินของเขาในการหาเลี้ยงชีพ แต่กลับติดกฎหมายขนส่งเอย กฎหมายโรงแรมเอย เราเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งรัฐไม่ได้ขาดทุนเลย เพียงถูกทอนอำนาจลงไปบ้าง เพื่อแลกกับโอกาสที่มากขึ้นของประชาชน
“พรรคภูมิใจไทยให้ความสำคัญกับเรื่องการนำทรัพย์สินส่วนตัวมาใช้ประกอบอาชีพ ถึงขั้นที่ทีมกฎหมายได้ร่างกฎหมายให้ GRAB เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ภายใต้กรอบที่กำหนด เราเสนอให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น และสังคมก็เห็นด้วยกับข้อเสนอตรงนี้ รอเพียงแต่โอกาส ในให้พรรคได้เข้าไปขับเคลื่อนกฎหมาย สู่การบังคับใช้เท่านั้น ภูมิใจไทย ไม่ใช่พรรคที่พูดลอยๆ แต่เราจะพูด ในสิ่งที่เราทำได้”
สมาชิกพรรคภูมิใจไทย กล่าวอีกว่า วันนี้เรามีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เราขยับจากอันดับ 11 มาอยู่อันดับที่ 3 ของโลก ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลย นอกจากนั้น ปัญหาการศึกษาเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน คุณภาพการศึกษาไทยมีความแตกต่างกันมาก เราจำเป็นต้องทำให้การศึกษาเป็นเรื่องของความเท่าเทียม ทั้งในเชิงคุณภาพ และในเรื่องของการเข้าถึง การศึกษาที่ดี คือการให้อนาคตที่ดีกับประเทศชาติ อยากฝากให้ประเทศไทยทุกภาคส่วน สนใจเรื่องการศึกษากันให้มากกว่านี้
นายณัชพล กล่าวด้วยว่า การเมืองไทยยุคใหม่ ต้องมุ่งเน้นในการแก้ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน หากประชาชนอยู่ดีกินดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี นั่นคือความหมายของการเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ และการเมืองในอนาคตจะเป็นการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีในการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็น Line@ หรือ Facebook เพราะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในปี 2562 ที่เป็นคนรุ่นใหม่ หรือผู้ที่มีอายุระหว่าง 18 – 35 ปี มีจำนวนกว่า 16 ล้านคน พรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคของคนรุ่นใหม่ ที่รวมพลังของผู้มีความรู้ ความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ กับประสบการณ์ของผู้ใหญ่ในพรรค ทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ และสังคม จึงกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว และตอบโจทย์สำหรับการแก้ปัญหาของประชาชน และการเมืองไทยในอนาคต
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดจากพลังของคนรุ่นใหม่และพรรคภูมิใจไทย คือ บุรีรัมย์โมเดล บุรีรัมย์ได้ยกระดับตัวเองจากที่เคยได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวเฉลี่ยต่ำเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ มาเป็นจังหวัดที่รายได้มากกว่า 85,000 ล้านต่อปี ถ้าบุรีรัมย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จังหวัดอื่นๆในประเทศไทยก็สามารถทำได้เช่นกัน