ไม่ทราบว่าใครปล่อยข่าวว่าแกนนำพรรคเพื่อไทย กับประชาธิปัตย์ มีดีลลับ พร้อมจับมือกันต้านรัฐบาล “บิ๊กตู่” คัมแบ็ก ที่ฝ่ายเพื่อไทยจะได้นั่งนายกรัฐมนตรี มี อ.ชัชชาติ เป็นผู้นำประเทศ อีกฝ่ายจะได้กระทรวงเกรดเอ
เรียกเสียงอือหืออาหา จากกองเชียร์ เพราะในความเป็นจริงแผนนี้ คือทางเดียวที่จะหยุด “บิ๊กตู่” กลับมา เพราะรับประกันได้ว่าได้ที่นั่งในสภาทะลุ 300 กลายเป็นขั้วมหาอำนาจทางการเมือง ที่แม้พลเอกประยุทธ์ ก็ยากหยุดยั้ง
อย่างไรก็ตามสำหรับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ดีลดังกล่าวไม่มีประโยชน์เท่าใดนัก เพราะการอยู่ตรงกลาง รอต่อรองหลังเลือกตั้ง เผลอไผลจะได้ผลประโยชน์มากกว่า เพราะอย่างลืมว่าประชาธิปัตย์จะเป็นพรรคที่กำหนดผู้ชนะ ในศึกการเมืองหลังเลือกตั้ง ห้วงเวลานั้น ย่อมมีข้อเสนอมากมายมายังพรรคประชาธิปัตย์
จึงไม่จำเป็นต้องร้อนเร่งไปดีลกับเพื่อไทย
และที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์เอง ก็หาใช่ว่าจะปฏิเสธทหารเต็มปากเต็มคำ เพราะอดีต เคยได้อานิสงค์จากฝ่ายกองทัพจนได้เป็นรัฐบาลมาแล้ว ครานั้นได้เป็นทั้งนายกรัฐมนตรี แถมได้กระทรวงสำคัญไปเพียบ ช่วงท้าย ยังได้โอกาสขี่พรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทยเข้าให้อีก
สะท้อนภาพครั้งหนึ่งเคยเป็น “ลูกรัก” ฝ่ายทหาร หากวันหน้า จะร่วมงานกันอีกคำรบ ก็หาใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
กลับเป็นเพื่อไทยต่างหาก ที่น่าจะผายมือต้อนรับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะอย่างที่กล่าวว่าเป็นหนทางเดียวในการตัดฉับถนนขึ้นสู่อำนาจของรัฐบาลบาลพลเอกประยุทธ์
แต่สำหรับเพื่อไทย ปัญหาติดอยู่ที่ “มวลชน” ซึ่งชัดเจนว่าไม่มีทางยอมรับพรรคประชาธิปัตย์
รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ เบอร์ต้นของเมืองไทยเคยฟันธงกรณีนี้ว่า
“ความขัดแย้งระหว่าง 2 พรรค ส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิต จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เพื่อไทย และประชาธิปัตย์ จะจับมือกัน ซึ่งเปรียบเสมือนการเหยียบย่ำหัวใจประชาชน แน่นอนว่าทั้ง 2 พรรคต้องตระหนักในเรื่องนี้เป็นอย่างดี”
คำตอบของ อ.สุขุม คือบทสรุปของเรื่องนี้