จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ค่อนข้างชัวร์แล้วว่าการเลือกตั้งจะ “ไม่” เกิดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธุ์ 2562 ตามที่หลายฝ่ายคาดกันไว้ ตามมาด้วยการคาดเดาจากคอการเมืองว่าใครจะได้เปรียบเสียเปรียบจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
สำหรับพรรคเพื่อไทย การเลื่อนเลือกตั้งออกไป จะส่งผลบวก หรือลบ ขึ้นกับผลงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หาก “บิ๊กตู่” ใช้โอกาสนี้ สร้างคะแนนนิยมในกลุ่มมวลชนได้ จะกลายเป็นฝันร้ายของพรรคเพื่อไทย และไทยรักษาชาติทันที ดังนั้น เกมของเพื่อไทย คือการไล่บี้รัฐบาล ตรวจสอบชนิดกัดไม่ปล่อย เป้าหมายสร้างรอยแผลเหวอะให้กับรัฐบาล ทำลายภาพลักษณ์ไปจนถึงวันเลือกตั้ง
ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมพลังประชาชาติไทย เวลาที่ยืดออกไป จะเป็นโอกาสให้นักการเมืองหน้าใหม่ได้ทำความรู้จักกับมวลชน แต่เหนืออื่นได ต้องลุ้นคะแนนของฝ่ายรัฐบาล หากพลาดท่าสะดุดขาตัวเอง ย่อมมีผลต่อกระแสความนิยมของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งกลายเป็นเนื้อเดียวกันเสียแล้ว
สำหรับพรรคภูมิใจไทย การเลือกตั้ง ที่มีแววว่าจะเลื่อนออกไป ไม่ส่งผลกระทบกับสภาพจิตใจของสมาชิกพรรค และน่าจะถือเป็นเรื่องดี พรรคมีเวลาแนะนำนโยบาย และผู้สมัครมากยิ่งขึ้น จึงไม่แปลกใจ ทำไมทั้ง “พี่หนู และพี่มาร์ช” ดร.เศรษฐพงค์ มะลสุวรรณ โฆษกพรรค ต่างประสานเสียงว่า “ไม่แคร์” ด้วยหวังว่า ยิ่งเวลาขยับออกไป พรรคยิ่งมีเวลา “ขายนโยบาย” มากขึ้น
สภาพของพรรคภูมิใจไทย สวนทางกับอนาคตใหม่ ที่หากเลือกตั้งช้า จะยิ่งเป็นผลลบ เพราะเปิดตัวแรง เป็นม้าตีนต้น แต่ยิ่งวิ่งยิ่งแผ่ว เพราะเจอปัญหารุมเร้าสารพัด จากภายนอกและภายใน แนวนโยบายที่เคยขาย ก็โชว์ของไปหมดแล้ว กระแสธนาธรที่เคยวูบวาบ ปัจจุบันกลับเงียบเชียบ ซ้ำร้ายเมื่อพรรคเพื่อไทยแพลมชื่อ อ.ชัชชาติ ก็ไม่ต่างจากตอกฝาโลงพรรคอนาคตใหม่ ปัจจุบันนี้ พรรคมีพลังอยู่ได้เพราะอภิมหาสาวกที่ยังไม่ยอมเปลี่ยนใจ แต่เวลาล่วงไป อะไร ก็เกิดขึ้นได้
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มีอนาคตที่แตกต่างออกไป เพราะเวลาที่เพิ่มขึ้นจะทำให้พรรคได้เคลียร์ใจระหว่างคนในพรรค เป็นโอกาสให้นักการเมืองฝ่ายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีนายชวน หลีกภัยหนุนหลัง ปรับความเข้าใจกับฝ่ายนายสุเทพ เพื่อหาทางจัดการองคาพยพสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า
เหล่านี้คือสถานการณ์ของฝ่ายการเมือง เมื่อมีการเลื่อนเลือกตั้ง
Ringsideการเมือง