นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) โพสต์ “การเมืองที่เริ่มต้นใหม่”ลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า 87 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองสยามประเทศ ที่เริ่มต้นด้วยการรัฐประหารเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 และมีการรัฐประหารหลังจากนั้นตามมาถึง 13 ครั้ง สลับกับการมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ทำให้ไม่มีการต่อเนื่องของการมีรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย
กระบวนการเรียนรู้ของประชาชน จึงเป็นการเรียนรู้จากการต่อสู้เผด็จการทหาร เผด็จการรัฐสภา และการต่อสู้กับการใช้อำนาจทางการเมืองทุจริตคอรัปชั่นทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน และพัฒนามาสู้กับกลุ่มทุนที่เข้าไปทำมาหากินกับกลุ่มการเมือง และกลุ่มทหาร
หลายคนในยุค 2510 โตมากับขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชน และอุดมการณ์ทางการมืองสังคมนิยม ที่ยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก
ในขณะเดียวกันคนยุค 2510 ได้ผสมผสานกับคนยุค 2500 ที่เริ่มต้นชีวิตสมัยเผด็จการทหารจอมพลสฤษดิ์ ที่ต่อมาจากจอมพล ป. แล้วคนสองยุคมาบรรจบพบกันที่บั้นปลายสมัยจอมพลถนอม ที่ร่วมกันเปิดฟ้าหน้าใหม่ให้กับสังคมยุค 14 ตุลา. จนผ่านมาถึงสังคมยุค 2540 ที่ได้ รธน.ฉบับประชาชน เสมือนหนึ่งฟ้าเปิดให้เกิดแสงทองผ่องอำไพ แต่ฟ้าหม่นเพราะเข้าสู่ยุคทักษิณ ซึ่งป็นยุคเผด็จการรัฐสภา และหม่นหมองลงไปอีกเมื่อเข้าสู่ยุค คสช.
นี่เป็นการเข้าสู่การต่อสู้ครั้งใหม่ระหว่าง ”เผด็จการรัฐสภากับเผด็จการทหาร”
เป็นการต่อสู้ที่ทุกฝ่ายผ่านประสบการณ์ ผ่านการเรียนรู้ทางการเมืองมาอย่างโชกโชน
เราจะผ่านกันไปได้ไหม ในขณะที่มีการคิดต่าง จนเกิดการแตกแยกทางความคิดทางการเมืองที่ไม่สามารถผสมผสานกันได้ อย่างน้อยในช่วง 10 ปีข้างหน้านี้
รธน.2560 จึงออกแบบให้เกิดการผสมผสานทางการเมืองใหม่ และถูกกำกับโดย “รัฐราชการ” ไม่เป็นการเมืองแบบ 2540 ที่มีรัฐบาลเสียงข้างมากรัฐบาลเดียว และที่สำคัญมีการเปลี่ยนแปลงฐานของระบบอำนาจใหม่ ในจังหวะที่มาบรรจบกันพอดี
ความพอดีนี้ จะทำให้เกิดมิติทางการเมืองใหม่ มิติทางวัฒนธรรม ที่ไม่เหมือนเดิม ในขณะที่โลกเคลื่อนตัวเข้าสู่ระบบดิจิตอล มากำหนดการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนกันใหม่ “บนถนนสายดิจิตอล” ไม่ใช่ “ถนนลาดยางมะตอย”
โลกหลัง 60 ประเทศไทยหลัง 60 จะเกิดการเปลี่ยนใหม่ในช่วง 10 ปีต่อไปข้างหน้าอย่างแน่นอน
นี่คือการเริ่มต้นศักราชใหม่ ในพุทธศักราช 2562 ที่ทำให้เกิดการคิดใหม่ และการเคลื่อนตัวใหม่ทุกมิติ
ฟ้าจะสีทองผ่องอำไพ ทำให้เกิดการลดช่องว่างของความไม่เท่าเทียมกันหรือไม่ ให้คอยดูกัน แต่ต้องเป็นการเฝ้าดูแบบมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน
มิฉะนั้นฟ้าจะหม่นหมองลงไปอีกครั้งหนึ่ง และความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นจะยิ่งถ่างห่างออกไปอีก