“หนู” คือชื่อเล่นของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย การเติม “พี่” เข้าไป แสดงถึงความอาวุโส ที่ยังไม่ถึงกับเก๋าเจนสนาม ให้เหมาะสมกับวัย 52 ปี ที่วันนี้ “พี่หนู” มีความเชี่ยวชาญทางการเมืองพอสมควร
ย้อนกลับไป “พี่หนู” มีเวลาในกระดานการเมืองน้อยนัก เพราะเคยถูกตัดสิทธิ์ แถมยังเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจ แต่ “พี่หนู” ยังติดตามการเมืองไทยแบบชิดติดขอบสนาม
และทุกครั้งที่ได้มีโอกาสลงเล่น “พี่หนู” ทำเต็มที่
ปี 57 ก็เจ็บตัวไม่น้อย เพราะส่งลูกพรรคลุยเลือกตั้งทั้งที่มีแววว่าการหย่อนบัตรจะถูกล้ม ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง
มาปี 62 “พี่หนู” ยังยึดถือสโลแกนเดิม “ทำเต็มที่ ดีที่สุด”
นายอนุทิน ในสถานะของ “พี่” ย่อมมีคนที่อาวุโสกว่า
เรียกกันว่า “ผู้ใหญ่”
ผู้ใหญ่หลายท่านสอนพี่หนูอย่างเอ็นดู หวังให้พี่หนูนำคำสอนนั้นไปใช้ในการทำงานการเมือง แน่นอนว่าพี่หนูน้อมรับด้วยความเคารพ จึงไม่เคยเห็น “พี่หนู” มีปัญหากับใคร
แต่ผู้ใหญ่บางท่าน ก็ดุไปหน่อย ล่าสุดผู้ใหญ่ท่านนั้น กล่าวว่า
“การแบ่งกำไรการค้าข้าวให้เกษตรกร 60% ให้โรงสี 15% ให้พ่อค้า 15% นั้นทำไม่ได้”
แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเป็นนโยบายพรรคไหน แต่ด้วยหลักการเรื่องแบ่งปันกำไรข้างต้น เห็นมีแต่ “ภูมิใจไทย” ที่โชว์ขึ้นมา
“พี่หนู” ในฐานะหัวหน้าพรรค จำเป็นต้องแสดงบทบาท เพราะ หากนิ่งเฉยไว้ จะกลายเป็นว่าแนวทางของพรรค แค่ขายฝัน
“พรรคภูมิใจไทยจะแก้ปัญหาปากท้องให้ชาวนา มันน่าอิจฉาตรงไหน ควรจะชื่นชม และส่งเสริมให้รีบทำด้วยซ้ำ ไม่ใช่บอกว่าเชื่อถือไม่ได้ เวลาใครสัญญาอะไรไว้แล้วไม่ทำ คนนั้นต่างหากที่ไม่น่าเชื่อถือ”
พี่หนูระบายความในใจต่อหน้าพี่น้องชาวนาร่วมครึ่งหมื่นชีวิตที่ วัดท่าซุง อำเภอบางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ในวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา
เป็นอารมณ์ความรู้สึกของพี่หนู ที่ส่งตรงถึงผู้ใหญ่บางท่าน พร้อมทวงคืนสัญญาที่ผู้ใหญ่ท่านนั้นเคยให้ไว้กับคนไทย
ขณะเดียวกัน พี่หนูยังย้ำว่า
“เราเสนอนโยบายข้าวระบบกำไรแบ่งปัน ซึ่งทำได้จริง เพราะเป็นหลักการที่ทำมากว่า 30 ปี กับอ้อยและน้ำตาลทราย”
เพื่อแสดงให้สังคมเห็นว่าแนวนโยบายข้าวของพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด แต่เป็นเรื่องที่ปรับมาจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว
ความแปลกประหลาดอยู่ที่ “ท่าที” ของผู้ใหญ่ท่านนั้นมากกว่า เพราะแต่ไหน แต่ไร พรรคภูมิใจไทย ไม่เคยเข้าไปข้องแวะกับความขัดแย้ง ไฉนจึงกลายเป็นเป้าแบบตั้งตัวกันไม่ทัน
หรือเพราะว่าเข้าใกล้เลือกตั้ง จึงจำเป็น “บลัฟ” คู่แข่ง ซึ่งมี “พี่หนู” อยู่ในนั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม “พี่หนู” ยังไว้ไมตรี ด้วยการระบุว่า ผู้ใหญ่ท่านนั้นเพียงแค่สั่งสอน ให้ตั้งใจทำงาน ซึ่งพี่หนูหวังให้เป็นเจตนาดี
สำหรับภูมิใจไทย ณ วินาทีปัจจุบัน นับเป็นพรรคที่อยู่ในข่าย “เกินจินตนาการ” และไม่น่าแปลกใจหาก “ผู้ใหญ่” จะกระโดดลงมาเบรก เพราะกระแสของพรรคเริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างสัมผัสได้ เช่นปรากฎการณ์ที่วัดท่าซุง
มวลชนหลายพันรับฟังแนวคิดเรื่องแบ่งปันกำไรอย่างตั้งอกตั้งใจ เสียงปรบมือ สลับเสียงโห่ร้อง ตามจังหวะเร้าบนเวที ที่มี “พี่หนู” คอยบรรเลง
เป็นภาพที่เจนตา หากบนเวทีไซร้ พูดถึงศัตรูทางการเมือง ตามแบบฉบับการเมือง 2 ขั้ว แต่กับการพูดถึงนโยบายแก้ปัญหาปากท้อง ภาพดังกล่าวเพิ่งเห็นที่วัดท่าซุง เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายชนิดที่ “เอ” หรือ นายสุรศักดิ์ พันธุ์เจริญวรกุล อดีต ส.ส.อยุธยา ที่ปัจจุบันสังกัดพรรคภูมิใจไทยยังอึ้ง เพราะถ้าไม่ใช่ “พรรคใหญ่” ที่เล่นกับกระแสความขัดแย้ง ยากมากที่จะเกิดภาพเช่นนี้ได้
เขาไม่คิดว่าการพูดเพียงปัญหาปากท้องและแนวทางแก้ไข จะสะกดคนได้เพียงนี้ แม้แต่นายอนุทิน ยังไม่เชื่อสายตา เพราะทันทีที่ลงจากเวที เขาอุทานเสียงดังว่า
“โอโห !!!!!”
อาจด้วยเพราะประชาชนเบื่อวังวนการเมืองเดิม และกำลังหาช่องตีฝ่าออกจากวังวนนั้น โดยฝากความหวังไว้กับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนคนไทยที่ไม่เอาความขัดแย้ง และหวังให้การเมือง ช่วยแก้ปัญหาปากท้อง บนหลักของการ “ทำได้จริง ทำได้เลย” มากกว่าการวนเวียนกับกีฬาสีมิรู้จบ
เมื่อนำภาพบรรยากาศที่อยุธยา ปัญหาของคนไทย วิเคราะห์ร่วมกับท่าทีของผู้ใหญ่บางท่าน ทำให้เข้าใจการเติบโตของพรรคภูมิใจไทยได้เป็นอย่างดี
Ringsideการเมือง