ชัดเจนแล้วว่าสำหรับพรรคภูมิใจชั่วโมงนี้ ไม่ใช่พรรคนอกสายตา แต่เป็นพรรคแกนนำขั้วกลางที่สำคัญ ซึ่งนักวิชาการทุกสำนักฟันธงตรงกันว่า ได้เสียงมากกว่าเดิมแน่นอน ด้วยปัจจัยบวก 3 อย่าง !!!
ประการแรก ตัวหัวหน้าพรรค มีภาพความสดใหม่ และสามารถเป็นความหวังให้กับสังคมได้ ชื่อของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ไม่ใช่ภาพตัวแทนของนักการเมืองระดับเขี้ยวลากดิน
กลับกัน “พี่หนู” มีภาพของวิศวกร และนักธุรกิจมากกว่า ในขณะที่คนไม่น้อยสนใจ “พี่หนู” ที่งานจิตอาสา “ภารกิจหัวใจติดปีก” หรือการขับเครื่องบินส่งอวัยยะช่วยเหลือผู้ป่วย
ภาพจำเหล่านี้คือคะแนนบวกที่พรรคภูมิใจไทยไดมาจากแบรนด์หัวหน้าพรรค
นอกจากนั้น นายอนุทิน ยังเป็นบุคคลที่เปี่ยมด้วยมิตรทางการเมือง ดังนั้น จึงไม่ปรากฎข่าวถูกโจมตีจนกระเทือนถึงชื่อเสียง กลับกัน นายอนุทิน เรียกว่าเป็นผู้เล่นที่ไร้มลทิน ถูกจริตของคนไทยทุกชนชั้น และเป็นที่รักของทุกขั้วการเมือง
ว่ากันว่า นายอนุทิน มีโอกาสไปถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทีเดียว
ประการต่อมา การที่พรรคภูมิใจไทย เลือกยืนตรงกลาง มีโอกาสเป็นรัฐบาลสูง เพราะเป็นขั้วที่มีความจำเป็นในการเสริมแกร่งให้กับรัฐบาล จึงดึงดูดความสนใจของนักการเมืองระดับเกรดเอ ซึ่งโดดเด่นในพื้นที่ และต่างทยอยมาเสริมทีมภูมิใจไทย เพื่อขอโอกาสทำงานรับใช้ประชาชน
เมื่อบวกกับนักการเมือง “ดี เด่น ดัง” ที่ฝ่ากระแสเสื้อแดงปี 54 เข้ามาได้ ส่งผลให้พรรคภูมิใจไทยอุดมด้วยนักการเมืองท้องถิ่น และระดับชาติ ซึ่งมีความแข็งแกร่ง ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งกระแสพรรคก็สามารถโกยคะแนนด้วยตัวเอง
นับรวมแล้วว่าที่ผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่โนเนม แต่คนในพื้นที่ต่างรู้จักมักคุ้น นำทีมโดยผู้อาวุโส ซึ่งมากด้วยบารมี อาทิ ในภาคกลาง พรรคภูมิใจไทย มีแม่ทัพชื่อ ชาดา ไทยเศรษฐ์ นักพัฒนาแห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง, ตระกูลปรินานันกุล จากอ่างทอง, ตระกูลวิลาวัลย์ จากนครนายกฯ ส่วนพิจิตร การได้ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ มาร่วมทัพ ยิ่งทำให้พรรคแกร่งขึ้นไปอีกขั้น
ขณะที่กรุงเทพและปริมณฑล มีแม่ทัพคือนายสุวัฒน์ ม่วงศิริ อดีต ส.ส.กทม., นายชาญ พวงเพ็ชร์ อดีต นายกอบจ. ปทุมธานี, นางเรวดี รัสมิทัต อดีต ส.ส.สมุทรปราการ
ในภาคตะวันออก ทีมชลบุรีการได้ มานิตย์ ภาวสุทธิ์ และนายภิญโญ ตั๊นวิเศษ รับประกันได้ว่า ต้องโกยเสียงได้เป็นกอบเป็นคำ
ส่วนพื้นที่ระยองการได้กลุ่ม “เพชรรัตน์” ของ ดร.อาทิตย์ ขาใหญ่ด้านธุรกิจบ้านจัดสรร เข้ามาร่วมทีมน่าจะทำให้ได้เสียงจากกลุ่มลูกบ้านจำนวนหลายหมื่นคะแนน
ที่ภาคอีสาน ภูมิใจไทยถือว่าแน่นปึ๊ก โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ อำนาจเจริญ สระบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น และจังหวัดเลย ที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทย ถือเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพรรคเพื่อไทย แม้ปี 2554 จะแพ้คู่แข่งหลุดลุ่ย แต่หากไปนับคะแนนกันจริง หลายพื้นที่ ชนะแพ้กันที่หลัก 1- 5 พันคะแนน
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้กติกาเปลี่ยน เมื่อทุกคะแนนมีค่า โดยการที่ภูมิใจไทย ยังสามารถเก็บตัวเจ๋งไว้ได้เกือบครบ ทั้ง “เม้ง” วัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ, นายแพทย์สำเริง แหยงกระโทก กลุ่มบุรีรัมย์
เมื่อผนึกกำลังกับผู้มาใหม่ อาทิ ส.จ.แม็ค องอาจ ฉัตรชัยพลรัตน์ อดีตผู้จัดการทีมสงขลา ทีเร็กซ์, ญานีนาถ เข็มนาค อดีต ส.ว.อำนาจเจริญ ดร.สิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ รวมไปถึงกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นตามจังหวัดต่างๆ ต้องบอกว่าภาคอีสาน ยังถือเป็นพื้นที่ ซึ่งภูมิใจไทย หวังได้คะแนนเป็นหลักล้าน
แต่ที่ต้องจับตาคือพื้นที่ภาคใต้ แม่ทัพด้ามขวานอย่าง ดร.นาที รัชกิจประการ จัดทัพคึกคักมาตลอด การได้ อดีต อบจ. สุราษฎร์ธานีอย่างมนตรี เพชรขุ้ม มาเสริม ช่วยทำให้ภูมิใจไทยภาคใต้มีความดุดันขึ้นมาก
นอกจากนี้ยังมี คงกฤษ ฉัตรมาลีรัตน์ อดีตนายก อบจ.ระนอง, และ ดร.สฤษฎ์พงษ์ เกี่ยวข้อง อดีตรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ ชัดเจนแล้วว่าภาคใต้ ก็อยู่ในพื้นที่เป้าหมายของพรรคภูมิใจไทย มิได้ด้อยไปกว่าพื้นที่อื่นเลย
อีกหนึ่งประการที่ช่วยยกระดับพรรคภูมิใจไทย ให้บินสูงกว่าที่คิดคือ ทีมยุทธศาสตร์ของพรรค ชื่อชั้นไม่ธรรมดา โดยเฉพาะ พี่มาร์ช พันเอก ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ อดีตรองประธาน กสทช. กระบี่มือหนึ่งด้านเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร ที่เข้ามาวางกรอบแนวคิดให้กับพรรค
ที่สุดแล้วนโยบายของพรรคภูมิใจไทย ที่ผ่านการกรองของนายอนุทิน หัวหน้าพรรค, พี่มาร์ช และคณะกรรมการของพรรค ตกผลึกที่การชูเรื่องดิจิทัล ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย รวมไปถึงการแก้กฎหมายให้คนไทยสามารถหาเงินได้ง่ายขึ้น
อาทิ ปลดล็อก GRAB แก้ไขกรอบการทำประมง นอกจากนี้ยังมีนโยบายการนำปาล์มมาทำไฟฟ้า การเรียนออนไลน์
และที่ฮือฮาคือการแบ่งปันกำไรข้าว ภายใต้สโลแกนทำได้จริงทำได้เลย
ข้อมูลทั้งหลายถูกผลิตโดยทีมสื่อ ทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง ทำหน้าที่กระจาย “แนวคิด” แบบพรรคภูมิใจไทยไปจนถึงประชาชนคนไทยทั้งประเทศ กระทั่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะชาวบ้านมั่นใจว่าทำได้ ไม่ขายฝัน
ปรากฎเป็นกระแสสะท้อนผ่านการลงพื้นที่ของพรรคใน 2 – 3 ครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นที่ยโสธร หรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คนหลายพันต่างต้อนรับพรรคภูมิใจไทย
เหล่านี้คือปัจจัยบวกที่ทำให้สถานะของพรรคภูมิใจไทยทุกวันนี้ หาใช่พรรคท้องถิ่นนิยม แต่เป็นพรรคของคนทั้งประเทศ ซึ่งพร้อมจะปล่อยของอีกชุดใหญ่ในวันที่ 17 มกราคม ที่สนามช้างบุรีรัมย์
นี่คือสถานะล่าสุดของพรรคภูมิใจไทย
ringsideการเมือง