นับเป็นอภิมหาความซวยของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ดันเกิดวิกฤติฝุ่นพิษ ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง
กระทั่งมีการจับแพะชนแกะโจมตีฝ่ายรัฐจากฝ่ายการเมืองอย่างเมามัน โดยหลายพรรคคว้าโอกาสนี้แสดงวิสัยทัศน์หวังคว้าใจประชาชน
แต่ที่ต้องจับตาคือท่าทีของพรรคฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่งวดนี้ คะแนนมากน้อยขึ้นกับกระแสของรัฐบาล ถ้าบั่นทอนได้สำเร็จ รับประกัน คะแนนพุ่ง
ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจ เมื่อนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรค ระบุว่า นักวิชาการบางส่วนมองปัญหาฝุ่นละอองเข้าขั้นวิกฤติ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับทำได้แค่การบอกว่ารับรู้ปัญหา แต่เลือกไปเดินสายจัดอีเวนต์ทางการเมือง
ขณะที่ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ฉะรัฐบาลอย่างเนียนๆ ที่อณุญาตให้ก่อสร้างรถไฟฟ้าร้อมกันหลายสาย จนอาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤติฝุ่น
“โครงการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า ซึ่งก่อให้เกิดฝุ่น ต้องสลับสาย และแบ่งช่วงเวลาสร้าง อย่าสร้างพร้อมกัน ฝุ่นเป็นของแข็ง สูดเข้าไปแล้วเอาออกไม่ได้ เป็นอันตรายต่อสุขภาพ”
แต่ที่เด็ดกว่าใครคือนายประภัสร์ จงสงวน กรรมการยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งสามารถโยงเอาเรื่องความเป็นประชาธิปไตย มาโยงกับปัญหาฝุ่นพิษได้ โดยระบุว่า
“การดำเนินการของผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องไม่ทันท่วงที ให้ข้อมูลกับประชาชนไม่ครอบคลุม ซึ่งเกิดจาก ภาวะที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และทำให้มาตรการดูแลการก่อสร้างหรือควบคุม ต้นเหตุของปัญหาไม่เข้มงวด”
นับว่าเป็นจังหวะเดินเกมรุกของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ที่ต้องฉวยโอกาสนี้ขย่ม “บิ๊กตู่” ชี้ให้เห็นภาพความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โยงไปยาวๆถึงอนาคตการเมืองไทย หาก “บิ๊กตู่” จะอยู่ต่อ ประชาชนจะเจออะไรบ้าง
ขณะที่พรรคอนาคตใหม่ เดินสายแจกหน้ากากฝุ่น ระหว่างนั้น ก็หาช่องอัดรัฐบาลไปพราง
สมาชิกแบบบัญชีรายชื่อของพรรค “ส้มหวาน” นายสุรเชษฐ์ ประวีญวงศ์วุฒิ กล่าวว่า
“อยากให้กรมควบคุมมลพิษ และ กระทรวงสาธารณสุขสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องนี้ให้กับประชาชนมากขึ้น จากการลงพื้นที่ในวันนี้พบว่า ประชาชนใส่หน้ากากอนามัยเพียงไม่ถึงห้าเปอร์เซนต์ แล้วที่แย่กว่านั้นคือ ใส่หน้ากากอนามัยผิดประเภทและไม่ถูกวิธี จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลสร้างความรู้และความเข้าใจให้มากขึ้นด้วย”
และไม่ใช่เพียงพรรคฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ที่จับเรื่องฝุ่นพิษมาขาย แต่พรรคขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่อย่างพรรคภูมิใจไทย ใช้โอกาสนี้ ตอกย้ำความจำเป็นของนโยบายพรรคเช่นกัน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเสนอนโยบายให้คนไทยลดเวลาการทำงานในออฟฟิศลง โดยสนับสนุนให้ทำงานที่บ้านได้ 1 วัน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และลดปริมาณรถบนท้องถนน ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องฝุ่นมฤตยูว่า
“การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งไม่ใช่หยุดทำงาน แต่ไม่ต้องเข้าสำนักงาน ให้ทำงานอยู่ที่บ้าน เพราะปัจจุบันผู้คนใช้เทคโนโลยีในการสื่อสาร เรื่องนี้จึงน่าจะช่วยลดปัญหาการจราจรได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งวันนี้เราให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้มาก ถ้าลดปัญหาจราจรได้ ฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันก็จะลดไปโดยอัตโนมัติ”
อย่างไรก็ตาม โทนของภูมิใจไทย แตกต่างจากพรรคเครือข่าย “ดร.ทักษิณ” เพราะไม่มีลูกเหน็บ แต่เป็นการหนุนความจำเป็นของนโยบายพรรคมากกว่า
สำหรับฝ่ายรัฐบาล ชั่วโมงนี้ อยู่ในอาการน้ำท่วมปาก เพราะสถานการณ์ฝุ่นยังแก้ไม่ตก การฉีดน้ำ ไม่ใช่ทางแก้ระยะยาว
ทั้งนี้ การจะแก้ปัญหาระยะยาว ต้อง อาศัยความกล้า ออกกฎหมายนานัปประการ ทั้งการควบคุมปริมาณรถเก่า ควบคุมจำนวนรถ ควบคุมควันจากโรงงาน
แต่ประเด็นคือประเทศไทยกำลังจะเลือกตั้ง รัฐบาลจะยอมเสี่ยงแค่ไหน
เรื่องฝุ่นขนาดเล็ก กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล และอาจจะหมายถึงเส้นทางอำนาจของ “บิ๊กตู่” เช่นกัน
Ringsideการเมือง