ความคึกคักที่จุดรับสมัครเลือกตั้งในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย ที่แม้นจะไม่มีเสียงเชียร์ และเสียงกองยาว แต่ก็สำผัสได้ถึงพลังประชาธิปไตยที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นบรรยากาศที่เราไม่มีทางได้เห็นในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2556 ด้วยในปีดังกล่าว การเลือกตั้งถูกปฏิเสธโดยกลุ่ม กปปส. ที่มาพร้อมกับข้ออ้างนาประการเพื่อยุติการหย่อนบัตรให้ได้ เหตุผลที่สร้างการยอมรับได้มากที่สุดคือเรื่อง “ขอเวลาปฏิรูปประเทศ” ที่มองย้อนกลับไป 4-5 ปี ประชาชนน่าจะมีคำตอบแล้วว่าเรามีการปฏิรูปไปถึงไหนแล้ว ???
กระนั้น เรื่องราวเมื่อปี 2556 คือเรื่องเก่า แต่ปัจจุบัน แม้นได้คะแนนเรื่องปฏิรูปเท่าไร กระทั่งได้ศูนย์ก็ตาม แต่สุดท้ายประเทศไทยต้องไปเลือกตั้ง ด้วยเพราะเกมการเมืองทั้งไทย และเทศ บีบให้เข้าสู่คูหา เพื่อคลายจากสภาพ “บีบรัด” หากฝ่ายผู้มีอำนาจ ณ ปัจจุบัน อยากไปต่อ จำต้องชนะเลือกตั้ง เช่นกันกับทุกฝ่าย ที่การเลือกตั้ง คือหนหลักสู่การเข้าสู่อำนาจ
เช่นนี้แล้วบรรยากาศการเลือกตั้งจึงเต็มเปี่ยมด้วยพลังความมุ่งมั่นของทุกพรรคการเมือง ที่งัดกลยุทธ์ขึ้นมาสู้ อาทิ เหล่าหัวหน้าพรรคทั้งหลาย ที่เปิดตัวเรียกเสียงฮือฮา พรรคเพื่อไทย ให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นั่งวินมาให้กำลังใจผู้สมัครที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมทีมงาน โชว์ภาพคนสมถะโนรถเมล์ ด้านพรรคพลังประชารัฐ ชูความเป็นเอกภาพ สมาชิกพรรค นั่งรถบัสมาสมัคร ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ไม่ทนรถติด อาศัยสองเท้าเดินมาให้กำลังใจทีม กทม.
ไปจนถึงเทคนิคการเมือง ที่อาจเรียกได้ว่า “บ้าระห่ำ” อย่างพรรคเพื่อชาติที่ล่าสุด สมาชิกหลายคน ยกขบวนไปเปลี่ยนชื่อเป็น “ทักษิณ – ยิ่งลักษณ์” ย้ำชัดว่าใช้อดีตนายกฯตระกูลชินวัตรเป็นจุดขาย แบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
ด้านสื่อเอง ต่างวิเคราะห์ศึกช้างชนช้างกันจนกระดาษใหม้ เพราะมีหลายสนามที่คู่ชก อยู่ในระดับ “โคตรสูสี” อาทิ ที่สุพรรณบุรี ที่นายจองชัย เที่ยงธรรม ต้องซัดกับนายประภัตร โพธสุธน ซึ่งทั้งคู่เป็นทั้งอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง อดีต ส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา เหมือนกัน และยังเป็นอดีตศิษย์เอกของ นายบรรหาร ศิลปอาชา มาทั้งคู่ แต่คราวนี้ต้องมาส่งแข่งขันกันตามวิถีการเมือง
ขณะที่นาย “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต้องเจอกับนาย “ฉลอง เทอดวีระพงศ์” อดีตปลัดจังหวัดพัทลุง ลงในนามพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีฐานเสียงเป็นวงกว้าง นับว่าเป็นอีกหนึ่งคู่ที่ต้องจับตามอง
ในส่วนของภาคอีสาน พื้นที่ศรีสะเกษ เป็นการสู้กันระหว่างนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ นักพัฒนาพื้นที่ ค่ายภูมิใจไทย ต้องวัดพลังกับขาใหญ่จากพรรคเพื่อไทย นายธเนศ เครือรัตน์
มาที่อารมณ์มวลชน คนไทยจำนวนมากต้องการความเปลี่ยนแปลง ด้วยอึดอัดกับสภาพปัญหาปากท้อง ด้วยความชิงชังกับระบอบเผด็จการก็ตามแต่
ขณะที่อีกส่วนหนึ่งต้องการพิสูจน์ว่าแนวทางของตนถูกต้อง ประเทศไทยต้องการความสงบ และการดูแลจากกองทัพ ซึ่งสุดท้ายแล้ว จะผิด จะถูก ต้องวัดกันที่ผลเลือกตั้ง เหล่านี้ล้วนสร้างความตื่นตัวแก่ประชาชน
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. แถลงผลการรับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศในวันแรกว่า
“จำนวนผู้สมัครวันแรก 5,831 คน เป็นจำนวนที่มากเกินความคาดหมายของกกต. และยังเป็นจำนวนผู้สมัครที่มากกว่าผู้สมัครในปี 2554 ซึ่งมีผู้สมัครประมาณ 2,000 คน สะท้อนถึงความตื่นตัวอยากมีส่วนร่วมทางการเมือง แม้ว่ากฎหมายใหม่การจัดตั้งพรรคการเมืองจะมีข้อกำหนดและรายละเอียดจำนวนมากก็ตาม”
นี่คือ “คุณค่า” ของการเลือกตั้ง ในฐานะเครื่องมือสร้างความชอบธรรมด้านการปกครอง
Ringsideการเมือง